การศึกษาในศตวรรษที่ 21
ศิษย์ในศตวรรษที่ 21
1.มีอิสระที่จะเลือกสิ่งที่ตนพอใจ แสดงความเห็น และลักษณะเฉพาะ ของตน
2.ต้องการดัดแปลงสิ่งต่างๆ ให้ตรงตามความพอใจและความต้องการ ของตน3.ตรวจสอบหาความจริงเบื้องหลัง
4.เป็นตัวของตัวเองและสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เพื่อรวมตัวกันเป็นองค์กร
5.ความสนุกสนานและการเล่นเป็นส่วนหนึ่งของงาน การเรียนรู้ และชีวิตทางสังคม
6.การร่วมมือ และความสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของทุกกิจกรรม
7.ต้องการความเร็วในการสื่อสาร การหาข้อมูล และตอบคำถาม
8.สร้างนวัตกรรมต่อทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
ปัจจัยสำคัญด้านการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
การเรียนรู้ที่แท้จริงอยู่ในโลกจริงหรือชีวิตจริง การเรียนวิชาในห้องเรียนยังไม่ใช่การเรียนรู้ที่แท้จริงดังนั้น ครูเพื่อศิษย์จึงต้องออกแบบการเรียนรู้ให้ศิษย์ได้เรียนในสภาพที่ใกล้เคียงชีวิตจริงที่สุด
การอบรมบ่มนิสัย หรือการปลูกฝังความเชื่อหรือค่านิยมในถ้อยคำเดิมของเรา แต่ในความหมายข้อนี้เป็นการเรียนรู้วิธีการนำเอาประสบการณ์มาสั่งสม
การเรียนรู้ที่แท้จริงขับดันด้วยฉันทะ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ภายในตัวคนไม่ใช่ขับดันด้วยอำนาจของครูหรือพ่อแม่ เด็กที่เรียนเพราะไม่อยากขัดใจครูหรือพ่อแม่จะเรียนได้ไม่ดีเท่าเด็กที่เรียนเพราะอยากเรียน
4. Multiple Intelligence
เด็กแต่ละคนมีความถนัดหรือปัญญาที่ติดตัวมาแต่กำเนิดต่างกัน รวมทั้งสไตล์การเรียนรู้ก็ต่างกั
น ดังนั้น จึงเป็นความท้าทายต่อครูเพื่อศิษย์ในการจัดการเรียนรู้โดยคำนึงถึงความแตกต่างของเด็กแต่ละคน และจัดให้การเรียนรู้ส่วนหนึ่งเป็นการเรียนรู้เฉพาะตัว
5. Social Learning
การเรียนรู้เป็นกิจกรรมทางสังคม หากยึดหลักการนี้ ครูเพื่อศิษย์ก็จะสามารถออกแบบกระบวนการทางสังคมเพื่อให้ศิษย์เรียนสนุก และเกิดนิสัยรักการเรียน
ทักษะครูเพื่อศิษย์ไทยในศตวรรษที่ 21
แนวคิดการเรียนรู้สำหรับ ครูเพื่อศิษย์
สมดุลใหม่ในการทำหน้าที่ ครูเพื่อศิษย์ เป้าหมายของการเรียนในศตวรรษที่ 21 คือ ปูพื้นฐานความรู้และทักษะเอาไว้สำหรับการมีชีวิตที่ดีในภายหน้า
สอนน้อย เรียนมาก สอนน้อย เรียนมาก (Teach Less, Learn More) เป็นอุดมการณ์ ด้านการศึกษาของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าครทูำงานน้ อยลง แต่ความจริงกลับต้องทำงานหนักขึ้น เพราะต้องคิดหาวิธีให้นักเรียนเรียน ได้มากขึ้น สอนน้อย คือ สอนเท่าที่จำเป็น ครูต้องรู้ว่าตรงไหน ควรสอน ตรงไหนไม่ควรสอนเพราะเด็กเรียนได้เอง ครูออกแบบกิจกรรมให้ เด็กเรียนจากกิจกรรม (PBL - Project-Based Learning)
ความจริงเกี่ยวกับการคิด 3 ประการ ที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อเดิม ได้แก่
วิธีการฝึกคิดคือ การฝึกแก้โจทย์ ศิลปะของการเป็นครูเพื่อศิษย์คือ การทำให้นักเรยีนเรียนสนุก และมีโจทย์ที่น่าสนใจ สิ่งที่ช่วยกระตุ้นความสนุก และน่าสนใจคือ ความสำเร็จหรือการที่สมองได้รับรางวัลจากความสำเร็จ ในการแก้โจทย์หรือตอบโจทย์ ดังนั้นโจทย์ต้องมีความยากง่ายพอดีกับ ความจำใช้งาน และความจำระยะยาวของเด็ก
2 รูปแบบการเรียน ตามทฤษฎีมีผู้เรียนแบบเน้นจักษุประสาท แบบเน้นโสตประสาท และแบบเน้นการเคลื่อนไหว (Visual, Auditory, and Kinesthetic Learners Theory) 3 ความฉลาด 8 ด้าน ตามทฤษฎีพหปัญญา (Multiple Intelligences)
ทฤษฎีพหุปัญญาหรือ ความถนัด 8 ด้าน (Multiple Intelligences Theory) ได้แก่ ภาษา ตรรกะ - คณิตศาสตร์ การเคลื่อนไหวร่างกาย ทักษะสัมพันธ์ระหว่าง บุคคล (interpersonal) ทักษะด้านในของตน (intrapersonal) ทักษะดนตรี ธรรมชาติวิทยา และความฉลาดในการใช ้และจัดที่ว่าง

ทักษะอาชีพและทักษะชีวิต
ความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Flexibility and Adaptibility) การริเริ่มและกำกับดูแลตนเองได้ (Initiative and Self-Direction)
สอนน้อย เรียนมาก สอนน้อย เรียนมาก (Teach Less, Learn More) เป็นอุดมการณ์ ด้านการศึกษาของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าครทูำงานน้ อยลง แต่ความจริงกลับต้องทำงานหนักขึ้น เพราะต้องคิดหาวิธีให้นักเรียนเรียน ได้มากขึ้น สอนน้อย คือ สอนเท่าที่จำเป็น ครูต้องรู้ว่าตรงไหน ควรสอน ตรงไหนไม่ควรสอนเพราะเด็กเรียนได้เอง ครูออกแบบกิจกรรมให้ เด็กเรียนจากกิจกรรม (PBL - Project-Based Learning)
จิตวิทยาการเรียนรู้สำหรับ ครูเพื่อศิษย์
สมดุลระหว่าง ความง่ายกับความยาก
ความจริงเกี่ยวกับการคิด 3 ประการ ที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อเดิม ได้แก่
1 การคิดทำได้ช้า
2 การคิดนั้นยาก ต้องใช้ความพยายามมาก
3 ผลของการคิดนั้นไม่แน่ว่าจะถูกต้อง
วิธีการฝึกคิดคือ การฝึกแก้โจทย์ ศิลปะของการเป็นครูเพื่อศิษย์คือ การทำให้นักเรยีนเรียนสนุก และมีโจทย์ที่น่าสนใจ สิ่งที่ช่วยกระตุ้นความสนุก และน่าสนใจคือ ความสำเร็จหรือการที่สมองได้รับรางวัลจากความสำเร็จ ในการแก้โจทย์หรือตอบโจทย์ ดังนั้นโจทย์ต้องมีความยากง่ายพอดีกับ ความจำใช้งาน และความจำระยะยาวของเด็ก ความคิดกับความรู้เกื้อกูลกัน
ความคิดกับความจำ เชื่อมโยงกัน หากมีความจำดี มีความรู้อยู่ในสมองมากก็จะคิดได้ดีกว่า คือ คิดเชื่อมโยงกว้างขวางกว่า คิดลึกซึ้งกว่า ดังนั้น ครูเพื่อศิษย์จึงต้องฝึกนักเรียน ให้รู้จักวิธีจำ ฝึกทักษะการจำ เพื่อให้มีทั้งความจำใช้งาน (working memory) และความจำระยะยาว (longterm memory) ที่ดี เคล็ดลับคือ เด็กที่มีความจำทั้งสองแบบนี้ดี จะ ไมเ่บื่อเรียน ไมเ่บื่อคิด การเรียนและการคิดจะเป็นของสนุกไม่ใช่น่าเบื่อหน่ายสอนให้เหมาะต่อความแตกต่าง ของศิษย์
นักเรียนมีความแตกต่าง 3 แนว ได้แก่ 1 ความสามารถทั่วไปในการเรยีนรู้ อาจเรียกว่าเด็กฉลาด เด็กหัวไว เด็กหัวช้า2 รูปแบบการเรียน ตามทฤษฎีมีผู้เรียนแบบเน้นจักษุประสาท แบบเน้นโสตประสาท และแบบเน้นการเคลื่อนไหว (Visual, Auditory, and Kinesthetic Learners Theory) 3 ความฉลาด 8 ด้าน ตามทฤษฎีพหปัญญา (Multiple Intelligences)
ทฤษฎีพหุปัญญาหรือ ความถนัด 8 ด้าน (Multiple Intelligences Theory) ได้แก่ ภาษา ตรรกะ - คณิตศาสตร์ การเคลื่อนไหวร่างกาย ทักษะสัมพันธ์ระหว่าง บุคคล (interpersonal) ทักษะด้านในของตน (intrapersonal) ทักษะดนตรี ธรรมชาติวิทยา และความฉลาดในการใช ้และจัดที่ว่าง
พัฒนาสมองห้าด้าน
สมอง ๕ ด้าน ได้แก่สมองด้านวิชาและวินัย (disciplined mind)สมองด้านสังเคราะห์ (synthesizing mind)สมองด้านสร้างสรรค์ (creating mind) สมองด้านเคารพให้เกียรติ (respectful mind) สมองด้านจริยธรรม (ethical mind)
ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม
การเรียนรู้ทักษะในการเรียนรู้ (learning how to learn หรือ learning skills) และเรียนรู้ทักษะในการสร้างการเปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้น (นวัตกรรม) ประกอบด้วยทักษะย่อย ๆ ดังต่อไปนี้ ๑. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) และการแก้ปัญหา (problem solving) ซึ่งหมายถึง การคิดอย่างผู้เชี่ยวชาญ (expert thinking) ๒. การสื่อสาร (communication) และความร่วมมือ (collaboration) ซึ่งหมายถึง การสื่อสารอย่างซับซ้อน (complex communicating) ๓. ความริเริ่มสร้างสรรค์ (creativity) และนวัตกรรม (innovation) ซึ่งหมายถึง การประยุกต์ใช้จินตนาการและการประดิษฐ์ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking)
ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณนี้ สอนไม่ได้ หรือสอนได้น้อยมาก นักเรียนต้องเรียนเอาเองโดยการฝึกฝน ครูจะเป็นโค้ชของการฝึกหัดนี้ โค้ชที่เก่งจะทำให้การเรียนรู้นี้สนุกตื่นเต้นเร้าใจทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร
ทักษะด้านสารสนเทศ (Information Literacy)ทักษะด้านสื่อ (Media Literacy Skills)ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT Literacy)ทักษะด้านความเป็นนานาชาติ
ปััจจุบัน ๑๐ ประเทศในภูมิภาคอาเซียนกำลังจะก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน และความร่วมมือหลักมี ๓ ด้านคือ ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรมทักษะอาชีพและทักษะชีวิต
ความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Flexibility and Adaptibility) การริเริ่มและกำกับดูแลตนเองได้ (Initiative and Self-Direction)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น